ทำความเข้าใจกับ 3 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับงูสวัด
งูสวัดกับ 3 สิ่งยอดฮิต ที่คุณอาจเข้าใจผิดมาโดยตลอด
การเข้าใจผิดเกี่ยวกับงูสวัด (Shingles) เป็นเรื่องที่พบได้บ่อยในสังคมไทย แม้ว่าจะเป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่มักพบมากในกลุ่มผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ อย่างไรก็ตาม หลายคนยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคนี้ โดยเฉพาะในเรื่องของการแพร่กระจายและการป้องกัน ในบทความนี้ เราจะมาคลายข้อสงสัยและแก้ไขความเข้าใจผิดเกี่ยวกับงูสวัดกันครับ
1. งูสวัดคือโรคเดียวกับอีสุกอีใส
งูสวัดคือโรคเดียวกับอีสุกอีใสหรือไม่?
หลายคนอาจคิดว่า งูสวัด (Shingles) คือโรคเดียวกับ อีสุกอีใส (Chickenpox) เพราะทั้งสองโรคเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดเดียวกัน คือ ไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ (Varicella-zoster virus) แต่ในความเป็นจริงแล้ว งูสวัด และ อีสุกอีใส เป็นโรคที่แตกต่างกันทั้งในแง่ของการแสดงอาการ, กลุ่มผู้เสี่ยง, และวิธีการเกิดโรค ดังนี้:
1.1. การเกิดโรค
- อีสุกอีใส เกิดขึ้นเมื่อไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ (Varicella-zoster virus) เข้าสู่ร่างกายครั้งแรก โดยส่วนใหญ่จะเกิดในเด็กหรือผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อไวรัสนี้มาก่อน เมื่อได้รับการติดเชื้อ ไวรัสจะทำให้เกิดผื่นเป็นตุ่มใสทั่วร่างกาย ซึ่งมีอาการคันและเจ็บปวด
- งูสวัด เกิดขึ้นจากการที่ไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ที่เคยอยู่ในร่างกายในรูปแบบของอีสุกอีใส (หลังจากที่หายจากอีสุกอีใส) จะยังคงซ่อนอยู่ในระบบประสาท และอาจกลับมาทำให้เกิดอาการงูสวัดได้ในภายหลัง โดยปกติจะเกิดในผู้ใหญ่หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง
1.2. อาการของโรค
- อีสุกอีใส: อาการเริ่มแรกจะมีไข้, ปวดศีรษะ, และรู้สึกเหนื่อยล้า จากนั้นจะมีผื่นขึ้นเป็นตุ่มน้ำใสที่มีลักษณะกลมเล็ก ๆ ทั่วร่างกาย ซึ่งจะกลายเป็นสะเก็ดและแห้งหายไป
- งูสวัด: อาการเริ่มต้นจะมีอาการปวดแสบร้อนและรู้สึกคันบริเวณที่ผิวหนัง ก่อนที่จะเกิดผื่นเป็นแผลแดงหรือแผลพุพองในรูปแบบเป็นแถบ ๆ ตามเส้นประสาท ซึ่งมักจะเกิดในบริเวณใดบริเวณหนึ่งของร่างกาย
1.3. การแพร่กระจาย
- อีสุกอีใส: สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ง่าย โดยการสัมผัสกับน้ำจากตุ่มที่มีการระเบิดหรือละอองจากการไอหรือจามของผู้ป่วย
- งูสวัด: การแพร่กระจายจะไม่เกิดจากการสัมผัสผิวหนังโดยตรง แต่สามารถเกิดขึ้นได้หากมีการสัมผัสกับน้ำจากตุ่มของผู้ป่วยที่มีผื่นงูสวัดที่ยังไม่แห้งสนิท หากผู้ที่ยังไม่เคยเป็นอีสุกอีใสมาก่อนก็อาจติดเชื้ออีสุกอีใสได้จากการสัมผัสกับผื่นงูสวัด
1.4. กลุ่มเสี่ยง
- อีสุกอีใส มักเกิดในเด็กที่ไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนหรือผู้ที่ไม่เคยเป็นโรคนี้
- งูสวัด มักเกิดในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี, ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วยที่รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือยาที่มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน
1.5. การป้องกัน
- อีสุกอีใส: ปัจจุบันมีวัคซีนที่สามารถป้องกันการติดเชื้ออีสุกอีใสได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในเด็ก
- งูสวัด: ผู้ที่เคยเป็นอีสุกอีใสแล้วสามารถได้รับวัคซีนป้องกันงูสวัด ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
งูสวัด และ อีสุกอีใส เกิดจากไวรัสชนิดเดียวกัน แต่เป็นโรคที่แตกต่างกันในแง่ของอาการ, การเกิดโรค, และกลุ่มผู้เสี่ยง งูสวัดจะเกิดขึ้นในผู้ที่เคยเป็นอีสุกอีใสมาก่อน และสามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีนป้องกันทั้งสองโรค
2. งูสวัดสามารถติดต่อได้จากการสัมผัส
งูสวัดสามารถติดต่อได้จากการสัมผัสจริงหรือไม่?
หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า งูสวัด สามารถติดต่อได้จากการสัมผัสผิวหนังหรือผื่นของผู้ป่วย แต่ความจริงแล้วการติดเชื้อจากงูสวัดนั้นไม่ได้เกิดจากการสัมผัสโดยตรงเหมือนกับโรคบางชนิด เช่น อีสุกอีใส หรือโรคติดต่ออื่น ๆ ที่เกิดจากการสัมผัสผิวหนัง หรือการไอจาม แต่การแพร่เชื้อจากงูสวัดสามารถเกิดขึ้นได้ในบางสถานการณ์ ดังนี้:
1. การติดเชื้อจากของเหลวในผื่น
งูสวัด เกิดจากไวรัส ไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ (Varicella-zoster virus) ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิด อีสุกอีใส โดยเชื้อไวรัสนี้สามารถแพร่กระจายได้จากของเหลวในผื่นของผู้ที่เป็นงูสวัด หากผื่นของผู้ป่วยยังไม่ได้แห้งและกลายเป็นสะเก็ด เชื้อไวรัสอาจแพร่กระจายได้หากมีการสัมผัสกับของเหลวจากผื่น
2. การสัมผัสกับผื่นที่ยังไม่แห้ง
การติดเชื้อจะสามารถเกิดขึ้นได้เฉพาะในกรณีที่มีการสัมผัสกับผื่นที่ยังไม่ได้แห้งสนิทหรือเป็นสะเก็ด หากผื่นของงูสวัดแห้งแล้วหรืออยู่ในระยะที่กลายเป็นสะเก็ดแล้ว จะไม่สามารถแพร่เชื้อได้อีกต่อไป นั่นหมายความว่าผู้ที่สัมผัสกับผื่นที่แห้งแล้วจะไม่ติดเชื้อ
3. การแพร่เชื้อไปยังผู้ที่ไม่เคยเป็นอีสุกอีใสมาก่อน
ผู้ที่ไม่เคยเป็น อีสุกอีใส หรือยังไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสมาก่อน อาจติดเชื้อ ไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ ได้จากการสัมผัสกับของเหลวในผื่นของผู้ที่เป็นงูสวัด ซึ่งจะทำให้พวกเขาเกิดโรคอีสุกอีใสแทนที่งูสวัด
4. การติดเชื้อผ่านการไอหรือจาม
แม้ว่า งูสวัด จะไม่สามารถแพร่กระจายจากการไอหรือจามได้เหมือน โรคหวัด หรือ ไข้หวัดใหญ่ แต่ถ้าผู้ป่วยมีผื่นที่ยังไม่แห้งและสัมผัสกับของเหลวในผื่นโดยตรง การติดต่ออาจเกิดขึ้นได้
5. การป้องกันการติดเชื้อ
การป้องกันการติดเชื้อจากงูสวัดสามารถทำได้โดย:
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผื่น ที่ยังไม่แห้งหรือเป็นสะเก็ด
- ล้างมือให้สะอาด หลังจากสัมผัสกับผิวหนังของผู้ป่วยหรือสิ่งของที่อาจสัมผัสกับผื่น
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ที่มีอาการงูสวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่พวกเขายังไม่ได้รับการรักษาและผื่นยังไม่แห้ง
การติดเชื้อจากงูสวัดสามารถเกิดขึ้นได้จากการสัมผัสกับของเหลวในผื่นที่ยังไม่แห้ง แต่ไม่ได้เกิดจากการสัมผัสผิวหนังโดยตรง การป้องกันการแพร่เชื้อสามารถทำได้ด้วยการหลีกเลี่ยงการสัมผัสผื่นที่ยังไม่แห้งและรักษาความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ การรักษาผู้ป่วยให้มีผื่นแห้งเร็วจะช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อให้กับผู้อื่นได้
3. งูสวัดเกิดจากการสัมผัสกับงู
งูสวัดเกิดจากการสัมผัสกับงูจริงหรือไม่?
หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า งูสวัด (Shingles) เกิดจากการสัมผัสกับ งู เพราะชื่อโรคมีคำว่า “งู” แต่ในความเป็นจริง งูสวัด ไม่ได้เกี่ยวข้องกับงูแต่อย่างใด และการสัมผัสกับงูไม่ได้ทำให้เกิดโรคนี้เลย
1. ชื่อโรค “งูสวัด” มาจากอะไร?
ชื่อ งูสวัด (Shingles) มาจากลักษณะของผื่นที่เกิดขึ้นบนผิวหนัง ซึ่งจะมีลักษณะเป็นแถบ ๆ คล้ายกับลำตัวของงูที่มีเส้น ๆ หรือเป็นทางยาวตามเส้นประสาท นั่นเอง ชื่อนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสงูหรือสัตว์เลื้อยคลานแต่อย่างใด
2. งูสวัดเกิดจากไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์
งูสวัด เกิดจาก ไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ (Varicella-zoster virus) ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิด อีสุกอีใส ในเด็ก และเมื่อผู้ที่เคยเป็นอีสุกอีใสแล้วเชื้อไวรัสนี้จะยังคงหลบซ่อนอยู่ในระบบประสาทส่วนกลาง (เฉพาะในเซลล์ประสาท) จนกระทั่งในบางครั้งอาจกลับมาแสดงอาการใหม่ในภายหลังในรูปแบบของงูสวัด
3. งูสวัดไม่ได้เกิดจากการสัมผัสกับงู
การสัมผัสกับงูไม่ได้ทำให้เกิด งูสวัด ตามที่บางคนเข้าใจผิด แต่โรคนี้จะเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง เช่น ในผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำเช่น ผู้ป่วยมะเร็งหรือผู้ที่ใช้ยาที่ลดภูมิคุ้มกัน ทำให้ไวรัสที่ซ่อนอยู่ในร่างกายสามารถกลับมาแสดงอาการได้
4. การติดต่อของงูสวัด
การติดเชื้อจาก งูสวัด เกิดจากการสัมผัสของเหลวในผื่นที่เปิดออกหรือยังไม่แห้งสนิทของผู้ป่วย หากสัมผัสกับผิวหนังที่มีผื่นน้ำใส อาจทำให้ผู้ที่ยังไม่เคยเป็นอีสุกอีใสติดเชื้อไวรัสนี้และเกิดอีสุกอีใสได้ แต่ไม่ได้เกิดจากการสัมผัสกับงูหรือสัตว์เลื้อยคลานแต่อย่างใด
5. อาการของงูสวัด
อาการของ งูสวัด เริ่มต้นด้วยความรู้สึกปวดแสบร้อนบริเวณที่ไวรัสกำลังเกิดขึ้น ต่อมาจะมีผื่นหรือแผลพุพองเกิดขึ้นตามเส้นประสาทที่ติดเชื้อ ซึ่งมักจะเกิดในพื้นที่หนึ่งของร่างกาย เช่น หน้าอก หรือด้านข้างของร่างกาย บางครั้งอาจมีอาการคันร่วมด้วย
งูสวัด ไม่ได้เกิดจากการสัมผัสกับงู หรือสัตว์เลื้อยคลานใด ๆ ชื่อโรคมาจากลักษณะของผื่นที่คล้ายกับลำตัวของงู โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัสวาริเซลลาซอสเตอร์ ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในระบบประสาทหลังจากที่เคยทำให้เกิดโรคอีสุกอีใสมาก่อน และสามารถกลับมาแสดงอาการได้ในภายหลังหากร่างกายมีภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง
สรุป
การเข้าใจถึงความจริงเกี่ยวกับงูสวัดจะช่วยให้คุณสามารถป้องกันและดูแลตัวเองได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงสูง ควรหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิดและปรึกษาแพทย์หากสงสัยว่าจะเกิดอาการของงูสวัด เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมและรวดเร็วที่สุด