ผลไม้เพื่อสุขภาพ โปรตีนสูง! 6 ตัวเลือกที่คนไม่กินเนื้อสัตว์ต้องลอง
อยากได้โปรตีนจากพืช? 6 ผลไม้โปรตีนสูงที่คุณควรลอง
ในปัจจุบัน หลายคนหันมาเลือกบริโภคอาหารจากพืชมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการกินมังสวิรัติ (Vegetarian) วีแกน (Vegan) หรือแม้แต่การลดการบริโภคเนื้อสัตว์เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม หนึ่งในความท้าทายของผู้ที่ไม่กินเนื้อสัตว์คือการได้รับโปรตีนให้เพียงพอในแต่ละวัน
โปรตีนมักจะถูกเชื่อมโยงกับอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ไข่ และผลิตภัณฑ์จากนม แต่แท้จริงแล้ว ผลไม้บางชนิดก็เป็นแหล่งโปรตีนที่ดีได้เช่นกัน แม้ว่าจะมีปริมาณโปรตีนไม่สูงเท่าเนื้อสัตว์หรือถั่วต่าง ๆ แต่การบริโภคผลไม้ที่อุดมไปด้วยโปรตีนร่วมกับอาหารอื่น ๆ จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน
1. อะโวคาโด (Avocado) ผลไม้สารพัดประโยชน์ที่อุดมไปด้วยโปรตีนและไขมันดี
อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่คนรักสุขภาพและผู้ที่รับประทานอาหารจากพืช นอกจากจะเป็นแหล่งของ ไขมันดี แล้ว อะโวคาโดยังเป็นหนึ่งในผลไม้ที่มีปริมาณโปรตีนสูงที่สุดเมื่อเทียบกับผลไม้อื่น ๆ
ปริมาณโปรตีนในอะโวคาโด
- อะโวคาโด 100 กรัม ให้โปรตีนประมาณ 2 กรัม
- หากรับประทานอะโวคาโด 1 ลูกขนาดกลาง (ประมาณ 200 กรัม) จะได้รับโปรตีนถึง 4 กรัม
แม้ว่าจะไม่สามารถทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้โดยตรง แต่ อะโวคาโดถือเป็นแหล่งโปรตีนจากพืชที่ดี โดยเฉพาะเมื่อรับประทานร่วมกับอาหารอื่นที่ให้โปรตีน เช่น ถั่ว ธัญพืช หรือผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง
คุณค่าทางโภชนาการของอะโวคาโด
อะโวคาโดไม่ได้มีดีแค่โปรตีน แต่ยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ได้แก่
- กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fats)
ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) และเพิ่มคอเลสเตอรอลที่ดี (HDL) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ - โพแทสเซียม (Potassium)
อะโวคาโดมีโพแทสเซียมสูงกว่ากล้วย ช่วยควบคุมความดันโลหิตและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ - ไฟเบอร์ (Fiber)
ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี ลดความเสี่ยงของอาการท้องผูก และช่วยควบคุมน้ำหนัก - วิตามินและแร่ธาตุ
เช่น วิตามิน E, วิตามิน K, วิตามิน B6 และโฟเลต ซึ่งช่วยบำรุงผิว เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยในการทำงานของสมอง
ประโยชน์ของอะโวคาโดต่อสุขภาพ
✔ ช่วยลดน้ำหนัก – ไฟเบอร์สูงและไขมันดีช่วยให้อิ่มนาน ลดความอยากอาหาร
✔ บำรุงสมองและความจำ – กรดไขมันดีช่วยเสริมสร้างการทำงานของสมองและลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์
✔ เสริมสร้างกล้ามเนื้อ – โปรตีนจากอะโวคาโดช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อเมื่อรับประทานร่วมกับแหล่งโปรตีนอื่น
✔ ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ – โพแทสเซียมและไขมันดีช่วยลดความดันโลหิตและลดคอเลสเตอรอล
วิธีรับประทานอะโวคาโดให้อร่อยและได้ประโยชน์สูงสุด
- อะโวคาโดบดทาขนมปัง – ใช้แทนเนยหรือน้ำสลัดเพื่อเพิ่มไขมันดี
- ใส่ในสลัด – ผสมอะโวคาโดกับผักสดและธัญพืชเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ
- ปั่นเป็นสมูทตี้ – ผสมอะโวคาโดกับกล้วย นมอัลมอนด์ และเมล็ดเจียเพื่อเพิ่มโปรตีนและไขมันดี
- ทำกัวคาโมเล่ (Guacamole) – จิ้มกับขนมปังโฮลวีตหรือนำไปเป็นเครื่องเคียงในเมนูสุขภาพ
ข้อควรระวังในการรับประทานอะโวคาโด
- อะโวคาโดมีแคลอรีสูง ควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ (ประมาณ ½ – 1 ลูกต่อวัน)
- ควรหลีกเลี่ยงอะโวคาโดที่สุกเกินไป เพราะอาจมีรสชาติขมและเนื้อสัมผัสไม่น่ารับประทาน
- หากมีอาการแพ้ผลไม้ในกลุ่มลาเท็กซ์ ควรระวังการรับประทานอะโวคาโด เนื่องจากอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้
2. มะม่วงสุก (Ripe Mango) ผลไม้รสหวาน อุดมไปด้วยโปรตีนและสารอาหารที่มีประโยชน์
มะม่วงสุกเป็นหนึ่งในผลไม้ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก ด้วยรสชาติหวานอร่อย เนื้อสัมผัสนุ่ม และกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ นอกจากจะเป็นแหล่งพลังงานที่ดีแล้ว มะม่วงสุกยังเป็นผลไม้ที่มีโปรตีนในปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งหลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน
ปริมาณโปรตีนในมะม่วงสุก
- มะม่วงสุก 100 กรัม ให้โปรตีนประมาณ 0.8 – 1 กรัม
- มะม่วงสุก 1 ลูกขนาดกลาง (ประมาณ 200 – 300 กรัม) ให้โปรตีน 1.6 – 3 กรัม
แม้ว่าโปรตีนในมะม่วงสุกจะไม่สูงมาก แต่เมื่อนำมารับประทานร่วมกับแหล่งโปรตีนอื่น เช่น ถั่ว ธัญพืช หรือโยเกิร์ต จะช่วยเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับมื้ออาหารได้อย่างสมบูรณ์
คุณค่าทางโภชนาการของมะม่วงสุก
มะม่วงสุกไม่ได้มีแค่โปรตีน แต่ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ เช่น
- วิตามิน A – ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันภาวะตาบอดกลางคืน
- วิตามิน C – เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายต้านทานโรคหวัด
- ไฟเบอร์ (Fiber) – ช่วยระบบย่อยอาหาร ลดอาการท้องผูก
- โพแทสเซียม (Potassium) – ควบคุมความดันโลหิตและช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานได้ดี
- สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) – ลดการอักเสบและช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง
ประโยชน์ของมะม่วงสุกต่อสุขภาพ
✔ ช่วยบำรุงสายตา – วิตามิน A ในมะม่วงช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อม
✔ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน – วิตามิน C ช่วยเพิ่มความสามารถของร่างกายในการต่อสู้กับเชื้อโรค
✔ ดีต่อระบบขับถ่าย – ไฟเบอร์ช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร ป้องกันอาการท้องผูก
✔ ให้พลังงานสูง – น้ำตาลธรรมชาติในมะม่วงให้พลังงานอย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับการเติมพลังระหว่างวัน
✔ ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ – โพแทสเซียมช่วยควบคุมระดับความดันโลหิต
วิธีรับประทานมะม่วงสุกให้อร่อยและได้ประโยชน์สูงสุด
- กินสด ๆ – รับประทานเป็นของว่างหรือของหวานหลังมื้ออาหาร
- ใส่ในสลัดผลไม้ – เพิ่มความหวานตามธรรมชาติให้กับจานสลัด
- ปั่นเป็นสมูทตี้ – ผสมกับโยเกิร์ต นมอัลมอนด์ หรือเมล็ดเจียเพื่อเพิ่มโปรตีน
- รับประทานคู่กับโยเกิร์ตหรือข้าวเหนียวมูน – เป็นเมนูยอดนิยมที่ช่วยเพิ่มความอร่อยและสารอาหาร
- ทำเป็นไอศกรีมหรือเจลลี่มะม่วง – เหมาะสำหรับคนที่ต้องการทางเลือกของหวานเพื่อสุขภาพ
ข้อควรระวังในการรับประทานมะม่วงสุก
- ปริมาณน้ำตาลสูง – มะม่วงสุกมีน้ำตาลธรรมชาติในปริมาณสูง ควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ
- หลีกเลี่ยงการรับประทานก่อนนอน – เพราะอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูง
- ควรเลือกรับประทานร่วมกับอาหารที่มีไฟเบอร์สูง – เช่น โฮลเกรน หรือถั่ว เพื่อลดการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำตาลในเลือดอย่างรวดเร็ว
3. มะละกอ (Papaya) ผลไม้ไฟเบอร์สูง โปรตีนดี ช่วยย่อยอาหาร
มะละกอเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศเขตร้อน ไม่เพียงแต่มีรสชาติหวานอร่อย แต่ยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย หนึ่งในคุณสมบัติเด่นของมะละกอคือ ช่วยระบบย่อยอาหารและมีปริมาณโปรตีนที่เหมาะสม สำหรับผู้ที่มองหาทางเลือกเสริมโปรตีนจากพืช
ปริมาณโปรตีนในมะละกอ
- มะละกอ 100 กรัม ให้โปรตีนประมาณ 0.5 – 0.8 กรัม
- มะละกอ 1 ถ้วย (ประมาณ 150 กรัม) ให้โปรตีนประมาณ 0.75 – 1.2 กรัม
- แม้โปรตีนในมะละกอจะไม่สูงมาก แต่หากรับประทานร่วมกับถั่ว ธัญพืช หรือนมพืช จะช่วยเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการได้ดี
คุณค่าทางโภชนาการของมะละกอ
นอกจากโปรตีนแล้ว มะละกอยังเป็นแหล่งของวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น
- เอนไซม์ปาเปน (Papain) – ช่วยย่อยโปรตีนและลดอาการแน่นท้อง
- วิตามิน C – กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงของโรคหวัด
- วิตามิน A – ช่วยบำรุงสายตาและผิวพรรณ
- ไฟเบอร์สูง – กระตุ้นการขับถ่าย ลดอาการท้องผูก และช่วยควบคุมน้ำหนัก
- โพแทสเซียม – ช่วยควบคุมความดันโลหิต ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
- สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) – ช่วยลดการอักเสบและป้องกันโรคเรื้อรัง
ประโยชน์ของมะละกอต่อสุขภาพ
✔ ช่วยย่อยอาหาร – เอนไซม์ปาเปนช่วยย่อยโปรตีน ลดอาการแน่นท้องและอาหารไม่ย่อย
✔ เสริมภูมิคุ้มกัน – วิตามิน C และสารต้านอนุมูลอิสระช่วยให้ร่างกายแข็งแรง
✔ ช่วยควบคุมน้ำหนัก – ไฟเบอร์สูงช่วยให้อิ่มนาน ลดความอยากอาหาร
✔ ลดอาการท้องผูก – กระตุ้นการขับถ่าย ป้องกันปัญหาลำไส้
✔ บำรุงสายตา – วิตามิน A และแคโรทีนอยด์ช่วยป้องกันภาวะจอประสาทตาเสื่อม
✔ ลดการอักเสบ – เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดข้อหรือโรคข้ออักเสบ
วิธีรับประทานมะละกอให้อร่อยและได้ประโยชน์สูงสุด
- รับประทานสด ๆ – กินเป็นของว่างเพื่อเพิ่มไฟเบอร์และวิตามิน
- ปั่นเป็นสมูทตี้ – ผสมกับโยเกิร์ต นมอัลมอนด์ หรือเมล็ดเจียเพื่อเพิ่มโปรตีน
- ทำสลัดผลไม้ – ผสมมะละกอกับผลไม้อื่น เช่น กล้วย มะม่วง หรือส้ม
- ใส่ในส้มตำ – ช่วยเพิ่มไฟเบอร์และรสชาติให้กับเมนูอาหารไทย
- ทำเป็นน้ำมะละกอปั่น – ดื่มเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ
ข้อควรระวังในการรับประทานมะละกอ
- ไม่ควรรับประทานมะละกอดิบมากเกินไป เพราะมีสารละเท็กซ์ (Latex) ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ในบางคน
- ผู้ที่ตั้งครรภ์ควรระวัง เนื่องจากมะละกอดิบอาจกระตุ้นให้มดลูกบีบตัว
- ผู้ป่วยเบาหวานควรควบคุมปริมาณการบริโภค เพราะมะละกอมีน้ำตาลธรรมชาติ แม้จะมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำกว่าอาหารหวานอื่น ๆ แต่ก็ควรรับประทานอย่างเหมาะสม
4. กล้วย (Banana) ผลไม้พลังงานสูง โปรตีนดี มีประโยชน์รอบด้าน
กล้วยเป็นหนึ่งในผลไม้ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก เนื่องจากมีรสชาติอร่อย รับประทานง่าย และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะ กล้วยเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีสำหรับผู้ที่รับประทานอาหารจากพืช อีกทั้งยังช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานอย่างรวดเร็ว
ปริมาณโปรตีนในกล้วย
- กล้วย 100 กรัม ให้โปรตีนประมาณ 1.1 กรัม
- กล้วย 1 ลูกขนาดกลาง (ประมาณ 120 กรัม) ให้โปรตีนประมาณ 1.3 กรัม
- กล้วย 1 ลูกขนาดใหญ่ (ประมาณ 150 กรัม) ให้โปรตีนประมาณ 1.6 กรัม
แม้ว่ากล้วยจะไม่ใช่แหล่งโปรตีนหลัก แต่เมื่อรับประทานร่วมกับถั่ว ธัญพืช หรือโยเกิร์ต จะช่วยเพิ่มโปรตีนในมื้ออาหารให้ครบถ้วนมากขึ้น
คุณค่าทางโภชนาการของกล้วย
กล้วยไม่เพียงให้โปรตีน แต่ยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ได้แก่
- โพแทสเซียม (Potassium) – ช่วยควบคุมความดันโลหิตและบำรุงหัวใจ
- แมกนีเซียม (Magnesium) – ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและลดอาการตะคริว
- ไฟเบอร์ (Fiber) – ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ
- วิตามิน B6 – ช่วยบำรุงระบบประสาทและการทำงานของสมอง
- สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) – ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
ประโยชน์ของกล้วยต่อสุขภาพ
✔ ให้พลังงานเร็ว – คาร์โบไฮเดรตในกล้วยช่วยเติมพลังให้ร่างกาย เหมาะสำหรับนักกีฬาและผู้ที่ออกกำลังกาย
✔ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด – ไฟเบอร์ในกล้วยช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
✔ บำรุงสมองและอารมณ์ – วิตามิน B6 ช่วยในการสร้างเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งช่วยลดความเครียดและเพิ่มความสุข
✔ ช่วยระบบย่อยอาหาร – ไฟเบอร์ช่วยให้ขับถ่ายง่าย ลดอาการท้องผูก
✔ ลดอาการตะคริว – โพแทสเซียมและแมกนีเซียมช่วยป้องกันตะคริวที่เกิดจากการออกกำลังกาย
วิธีรับประทานกล้วยให้อร่อยและได้ประโยชน์สูงสุด
- กินสด ๆ เป็นของว่าง – พกพาสะดวกและช่วยเติมพลังงาน
- ใส่ในข้าวโอ๊ตหรือซีเรียล – เพิ่มไฟเบอร์และโปรตีนให้กับมื้อเช้า
- ปั่นเป็นสมูทตี้ – ผสมกับนมอัลมอนด์ เมล็ดเจีย หรือโปรตีนพืชเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ
- ทำเป็นกล้วยปิ้งหรือกล้วยอบ – ได้รสชาติหวานธรรมชาติแบบไม่มีน้ำตาลเพิ่ม
- ทำเป็นกล้วยบดสำหรับเด็กเล็ก – เป็นอาหารเสริมที่ดีสำหรับเด็กวัยหัดกิน
ข้อควรระวังในการรับประทานกล้วย
- ควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ – กล้วยมีน้ำตาลธรรมชาติสูง หากรับประทานมากเกินไปอาจทำให้น้ำตาลในเลือดสูง
- ไม่ควรรับประทานขณะท้องว่างหากมีปัญหากระเพาะอาหาร – กล้วยอาจทำให้กรดไหลย้อนในบางคน
- ผู้ป่วยโรคไตควรระวังการบริโภคโพแทสเซียมสูงเกินไป – หากไตทำงานไม่ปกติ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานกล้วยในปริมาณมาก
5. ลูกแพร์ (Pear) ผลไม้ฉ่ำน้ำ ไฟเบอร์สูง โปรตีนดีต่อสุขภาพ
ลูกแพร์เป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก ไม่เพียงแต่มีรสชาติหวานอร่อย และเนื้อสัมผัสฉ่ำน้ำ แต่ยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะไฟเบอร์ วิตามิน และโปรตีนที่ช่วยบำรุงร่างกาย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการอาหารเพื่อสุขภาพ
ปริมาณโปรตีนในลูกแพร์
- ลูกแพร์ 100 กรัม ให้โปรตีนประมาณ 0.5 – 1 กรัม
- ลูกแพร์ 1 ลูกขนาดกลาง (ประมาณ 180 กรัม) ให้โปรตีนประมาณ 0.9 – 1.8 กรัม
แม้ว่าลูกแพร์จะไม่ได้เป็นแหล่งโปรตีนหลัก แต่เมื่อนำมารับประทานร่วมกับอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น ถั่ว ธัญพืช หรือโยเกิร์ต จะช่วยให้ร่างกายได้รับโปรตีนในปริมาณที่เหมาะสม
คุณค่าทางโภชนาการของลูกแพร์
ลูกแพร์ไม่เพียงให้โปรตีนเท่านั้น แต่ยังมีวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย ได้แก่
- ไฟเบอร์สูง (Fiber) – ช่วยระบบย่อยอาหารและป้องกันอาการท้องผูก
- วิตามิน C – เสริมสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยให้ผิวพรรณสดใส
- โพแทสเซียม (Potassium) – ควบคุมความดันโลหิตและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
- สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) – ช่วยลดการอักเสบและป้องกันโรคเรื้อรัง
- น้ำตาลธรรมชาติ – ให้พลังงานแก่ร่างกายโดยไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูง
ประโยชน์ของลูกแพร์ต่อสุขภาพ
✔ ช่วยควบคุมน้ำหนัก – ไฟเบอร์สูงช่วยให้อิ่มนาน ลดความอยากอาหาร
✔ บำรุงหัวใจและความดันโลหิต – โพแทสเซียมช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและสมองขาดเลือด
✔ ช่วยย่อยอาหาร – ไฟเบอร์ช่วยปรับสมดุลของระบบทางเดินอาหารและลดอาการท้องผูก
✔ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน – วิตามิน C และสารต้านอนุมูลอิสระช่วยให้ร่างกายแข็งแรง
✔ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด – คาร์โบไฮเดรตในลูกแพร์เป็นแบบย่อยช้า ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่พุ่งสูงเร็ว
วิธีรับประทานลูกแพร์ให้อร่อยและได้ประโยชน์สูงสุด
- กินสด ๆ – ลูกแพร์ฉ่ำและอร่อยอยู่แล้ว แค่ล้างให้สะอาดและรับประทานได้เลย
- ใส่ในสลัดผลไม้ – ผสมกับผลไม้อื่น เช่น องุ่น แอปเปิล หรือกีวี
- ปั่นเป็นสมูทตี้ – ผสมกับโยเกิร์ต ถั่ว และเมล็ดเจีย เพื่อเพิ่มโปรตีนและไฟเบอร์
- อบหรือต้ม – ทำเป็นของหวานเพื่อสุขภาพ เช่น ลูกแพร์อบน้ำผึ้ง หรือซุปผลไม้
- ใช้แทนน้ำตาลในขนมอบ – ปั่นลูกแพร์แล้วใช้แทนน้ำตาลในเค้กหรือมัฟฟิน
ข้อควรระวังในการรับประทานลูกแพร์
- ลูกแพร์ดิบอาจทำให้เกิดอาการแน่นท้อง – ควรเลือกทานลูกแพร์ที่สุกพอดีเพื่อลดอาการไม่สบายท้อง
- น้ำตาลธรรมชาติในลูกแพร์ – แม้ว่าจะเป็นแหล่งพลังงานที่ดี แต่ผู้ป่วยเบาหวานควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ
- ไม่ควรปอกเปลือกทิ้ง – เปลือกลูกแพร์มีไฟเบอร์สูง ช่วยให้ขับถ่ายดีขึ้น
6. เชอร์รี่ (Cherry) ผลไม้ลูกเล็ก แต่โปรตีนสูง และเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
เชอร์รี่เป็นผลไม้ขนาดเล็กที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่เพียงแต่มีรสชาติหวานอมเปรี้ยวอร่อย แต่ยังเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีเมื่อเทียบกับผลไม้ชนิดอื่น เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาทางเลือกเพื่อเสริมโปรตีนจากพืช
ปริมาณโปรตีนในเชอร์รี่
- เชอร์รี่ 100 กรัม ให้โปรตีนประมาณ 1 – 1.5 กรัม
- เชอร์รี่ 1 ถ้วย (ประมาณ 150 กรัม) ให้โปรตีนประมาณ 1.5 – 2.2 กรัม
แม้ว่าเชอร์รี่จะไม่ใช่แหล่งโปรตีนหลัก แต่เมื่อรับประทานร่วมกับถั่ว เมล็ดพืช หรือโยเกิร์ต จะช่วยเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการและโปรตีนให้กับมื้ออาหารได้
คุณค่าทางโภชนาการของเชอร์รี่
เชอร์รี่เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ ได้แก่
- สารต้านอนุมูลอิสระสูง (Antioxidants) – ช่วยลดการอักเสบและชะลอวัย
- แอนโธไซยานิน (Anthocyanins) – ช่วยลดอาการปวดข้อ และบรรเทาการอักเสบของกล้ามเนื้อ
- วิตามิน C – ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง
- โพแทสเซียม (Potassium) – ช่วยควบคุมความดันโลหิตและบำรุงหัวใจ
- เมลาโทนิน (Melatonin) – ช่วยปรับสมดุลการนอนหลับ ทำให้นอนหลับสนิทขึ้น
- ไฟเบอร์ (Fiber) – ช่วยระบบขับถ่ายและป้องกันอาการท้องผูก
ประโยชน์ของเชอร์รี่ต่อสุขภาพ
✔ ช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวดข้อ – เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคข้ออักเสบและนักกีฬา
✔ ช่วยให้นอนหลับดีขึ้น – เมลาโทนินในเชอร์รี่ช่วยปรับสมดุลการนอนหลับ
✔ บำรุงหัวใจและความดันโลหิต – โพแทสเซียมช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
✔ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน – วิตามิน C ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและลดความเสี่ยงของโรคหวัด
✔ ช่วยควบคุมน้ำหนัก – แคลอรีต่ำและไฟเบอร์สูงช่วยให้อิ่มนาน
✔ ช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด – มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำตาลในเลือด
วิธีรับประทานเชอร์รี่ให้อร่อยและได้ประโยชน์สูงสุด
- กินสด ๆ เป็นของว่าง – อร่อยและให้พลังงานอย่างเป็นธรรมชาติ
- ใส่ในโยเกิร์ตหรือสลัด – ช่วยเพิ่มรสชาติและสารต้านอนุมูลอิสระ
- ปั่นเป็นสมูทตี้ – ผสมกับนมพืชและเมล็ดเจียเพื่อเพิ่มโปรตีน
- นำไปอบแห้งหรือทำแยม – เก็บไว้รับประทานได้นาน
- ใช้เป็นส่วนผสมในขนมอบ – เช่น มัฟฟิน หรือเค้กเพื่อเพิ่มรสชาติ
ข้อควรระวังในการรับประทานเชอร์รี่
- ไม่ควรรับประทานมากเกินไป – เชอร์รี่มีน้ำตาลธรรมชาติสูง ควรควบคุมปริมาณการบริโภค
- เชอร์รี่อบแห้งอาจมีน้ำตาลเพิ่ม – ควรเลือกเชอร์รี่ที่ไม่มีน้ำตาลเพิ่มเพื่อสุขภาพที่ดี
สรุป
ผลไม้ที่มีโปรตีนสูงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ นอกจากจะให้โปรตีนแล้ว ยังอุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย การเลือกบริโภคผลไม้เหล่านี้เป็นประจำช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน และยังช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีอีกด้วย